top of page
Connect With Us:
  • Facebook
  • Instagram
  • Youtube
  • Pinterest
Tel.093-4241559

ภาษีร้านอาหารสำหรับบุคคลธรรมดาที่ควรรู้

ภาษีร้านอาหารสำหรับบุคคลธรรมด

ถ้าเปิดร้านอาหารโดยใช้ชื่อของตัวเองไม่ได้จดเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน ร้านของคุณจะถือเป็น "กิจการบุคคลธรรมดา" ซึ่งก็มีหน้าที่เสียภาษีเหมือนกัน แค่รูปแบบ วิธีการคำนวณ และการยื่นภาษีจะต่างจากนิติบุคคลอยู่บ้าง บทความนี้จะพาไปดูว่า ภาษีที่เจ้าของร้านอาหารแบบบุคคลธรรมดาควรรู้มีอะไรบ้าง ต้องเตรียมตัวยังไงและมีข้อควรระวังอะไรที่ไม่ควรมองข้าม


ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับร้านอาหาร

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับร้านอาหาร

การเปิดร้านอาหารเมื่อมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ตามมาคือ “ภาษี” ที่เจ้าของร้านต้องรู้และจัดการให้ถูกต้อง บทความนี้จะอธิบายแบบเข้าใจง่าย เพื่อให้คุณวางแผนภาษีได้อย่างไม่ต้องกังวล


ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาคืออะไร?

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาคือภาษีที่เจ้าของร้านอาหารในรูปแบบบุคคลธรรมดาต้องจ่ายจาก รายได้สุทธิ ที่เกิดขึ้นในแต่ละปี โดยกรมสรรพากรจะใช้ อัตราภาษีก้าวหน้า (ยิ่งรายได้สูง ยิ่งเสียภาษีสูงขึ้น)


วิธีคำนวณภาษีร้านอาหารสำหรับบุคคลธรรมดา

รายได้สุทธิ = รายได้ทั้งหมด – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน (ใช้เป็นฐานคำนวณภาษี)

  • รายได้ รวมรายได้ทุกช่องทาง เช่น รายได้จากการขายอาหาร รายได้จากแอปเดลิเวอรีและรายได้จากสอนทำอาหาร ฯลฯ

  • ค่าใช้จ่าย สามารถหักได้ 2 แบบ แบบเหมา (นิยมสำหรับร้านขนาดเล็ก) หักค่าใช้จ่ายได้ 60% ของรายได้ (แต่ไม่เกินที่กฎหมายกำหนด) ไม่ต้องเก็บเอกสารค่าใช้จ่าย ส่วน แบบตามจริง หักได้ตามค่าใช้จ่ายจริง เช่น ค่าวัตถุดิบ, ค่าแรงพนักงาน, ค่าเช่า, ค่าน้ำไฟ ฯลฯ เเต่ต้องมีหลักฐาน เช่น ใบเสร็จรับเงิน, ใบกำกับภาษี

  • ค่าลดหย่อน เจ้าของร้านสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนได้ เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว (60,000 บาท) ค่าลดหย่อนคู่สมรส บุตร บิดา-มารดา ประกันชีวิต กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ SSF/RMF ค่าซื้อสินค้าไทยเที่ยวไทย ฯลฯ


ยื่นภาษีร้านอาหารสำหรับบุคคลธรรมดายังไง?

  • การยื่นภาษีประจำปี ถ้าคุณมีรายได้จากร้านอาหาร (หรือรายได้อื่นนอกจากเงินเดือน) ต้องใช้แบบ ภ.ง.ด. 90 แต่ถ้ามีแค่เงินเดือนอย่างเดียว ใช้แบบ ภ.ง.ด. 91 ได้เลย

  • ระยะเวลายื่นภาษี ครึ่งปี (ภ.ง.ด. 94) ยื่นภายใน 31 กรกฎาคม ของทุกปี สำหรับรายได้ช่วง ม.ค. – มิ.ย.

    ส่วน ปลายปี (ภ.ง.ด. 90) ยื่นภายใน 31 มีนาคม ปีถัดไป สำหรับรายได้ตลอดทั้งปี ม.ค. – ธ.ค.


ภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับร้านอาหาร

ภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับร้านอาหาร

หลายคนที่เปิดร้านอาหารอาจสงสัยว่า “ภาษีมูลค่าเพิ่ม” หรือ VAT คืออะไร และร้านของเราจำเป็นต้องจดหรือไม่?บทความนี้จะสรุปให้เข้าใจง่ายว่า VAT คืออะไร ใครต้องจดและควรเตรียมตัวยังไงบ้างก่อนเข้าสู่ระบบภาษีนี้


ภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร?

  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) คือ ภาษีทางอ้อม ที่รัฐเรียกเก็บจากผู้บริโภคโดยผ่านผู้ประกอบการ (เช่น ร้านอาหาร) ซึ่งมีอัตราอยู่ที่ 7% (ณ ปี 2567)

  • ตัวอย่าง เช่น ลูกค้าทานอาหาร 100 บาท ร้านอาหารที่จด VAT จะต้อง เรียกเก็บเพิ่มอีก 7 บาท รวมเป็น 107 บาท แล้วนำส่งภาษี 7 บาทให้กรมสรรพากร


ร้านอาหารแบบไหนต้องจด VAT?

  • รายได้ ากการขายสินค้าหรือบริการ เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี (หรือเฉลี่ย 150,000 บาทต่อเดือน) คุณมีหน้าที่ต้องจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการ VAT ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่รายได้เกินเกณฑ์

  • ตัวอย่าง ร้านที่เข้าข่ายต้องจด VAT ร้านอาหารที่มีรายได้รวมเกิน 1.8 ล้านบาท ร้านที่ขายผ่านแอปเดลิเวอร และมีรายได้จากหลายช่องทางรวมกัน คาเฟ่หรือร้านกาแฟที่มียอดขายต่อเดือนสูง


ถ้าจด VAT แล้วต้องทำอะไรบ้าง?

  • เก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากลูกค้า ขายอาหาร 100 บาท เก็บเพิ่ม VAT 7% = 107 บาท

  • ออกใบกำกับภาษี ถ้าลูกค้าขอใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ (เช่น บริษัท) ต้องออกเอกสารให้ได้ตามที่กฎหมายกำหนด

  • ยื่นแบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) ทุกเดือน ต้องยื่นแบบทุกเดือน แม้ไม่มีรายได้ในเดือนนั้น ภ.พ.30 จะระบุยอด VAT ที่ “ขาย” (ภาษีขาย) และยอด VAT ที่ “ซื้อ” (ภาษีซื้อ) เพื่อคำนวณยอดที่ต้องจ่าย

  • ชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม หาก VAT ขาย และ VAT ซื้อ จ่ายส่วนต่างให้สรรพากร สามารถขอคืนหรือยกยอดไปเดือนหน้าได้


ข้อควรรู้ภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับร้านอาหาร

  • ถ้าไม่จด VAT จะเกิดอะไรขึ้น? หากคุณมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี แล้ว ไม่จด VAT มีความผิดตามกฎหมายอาจถูกกรมสรรพากรเรียกตรวจย้อนหลัง

  • ข้อดีของการจด VAT การจด VAT ช่วยให้ร้านสามารถหัก VAT จากต้นทุน เช่น วัตถุดิบหรือค่าน้ำไฟได้ เพิ่มความน่าเชื่อถือทางธุรกิจและเอื้อต่อการขยายกิจการในอนาคต

  • ข้อเสียที่ต้องพิจารณา ต้องมีการจัดทำบัญชีอย่างรัดกุม ออกใบกำกับภาษีให้ถูกต้อง และยื่นแบบทุกเดือนแม้ไม่มีรายได้ หากไม่ปรับราคาขายให้รวม VAT อย่างเหมาะสม อาจทำให้กำไรต่อจานลดลงโดยไม่รู้ตัว



ภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับร้านอาหาร

ภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับร้านอาหาร

เป็นภาษีที่ร้านอาหารที่ต้องหักไว้ก่อนจ่ายเงินให้กับผู้ให้บริการหรือผู้รับจ้างต่างๆ แล้วนำส่งกรมสรรพากรถือเป็นการชำระภาษีล่วงหน้า เพื่อช่วยให้ร้านจัดการเรื่องภาษีได้อย่างถูกต้องและไม่เจอปัญหาภายหลัง


กรณีที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย

  • จ้างฟรีแลนซ์หรือนักดนตรี ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 3% ก่อนจ่ายเงินแล้วนำส่งกรมสรรพากรภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป

  • จ่ายค่าบริการอื่นๆ เช่น ค่าทำความสะอาดหรือค่าออกแบบเมนู ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 3% หรือ 5% ตามประเภทผู้รับ แล้วนำส่งกรมสรรพากร

  • จ่ายค่าเช่า พื้นที่หรืออุปกรณ์ เช่น ค่าเช่าเครื่องกาแฟ ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 5% แล้วนำส่งกรมสรรพากร


การยื่นแบบและนำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย

  • ภ.ง.ด.3 สำหรับบุคคลธรรมดา เมื่อร้านอาหารหักภาษี ณ ที่จ่ายจากค่าจ้างหรือค่าบริการแล้ว ต้องยื่นแบบนี้ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป เพื่อแจ้งกรมสรรพากรว่ามีการหักภาษีและนำส่งเรียบร้อยแล้ว

  • ข้อควรรู้ อย่าลืมยื่นแบบให้ตรงเวลา เพราะถ้ายื่นช้าอาจโดนค่าปรับและดอกเบี้ยย้อนหลังด้วย ถ้าไม่ยื่นหรือยื่นไม่ครบ อาจโดนตรวจสอบและมีปัญหากับกรมสรรพากรได้เลย ควรเก็บเอกสารหักภาษีไว้ให้พร้อม จะได้สบายใจเรื่องภาษี


ภาษีป้ายร้านอาหาร

ภาษีป้ายร้านอาหาร

เป็นภาษีที่ร้านอาหารต้องเสียเมื่อติดป้ายชื่อร้าน ป้ายเมนู หรือป้ายโฆษณาที่เห็นจากภายนอก เพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมายและหลีกเลี่ยงค่าปรับ ร้านจึงควรทราบวิธีการยื่นแบบและชำระภาษีให้เรียบร้อยทุกปี


ป้ายแบบไหนที่ต้องเสียภาษี?

  • ป้ายหน้าร้าน ที่ติดไว้เพื่อแสดงตัวตนของร้าน ไม่ว่าจะเป็น ป้ายชื่อร้าน ป้ายเมนู ป้ายไฟ รวมถึงป้ายที่มีตัวอักษรภาษาไทย ภาษาอังกฤษ หรือโลโก้แบรนด์ ทั้งหมดนี้ถือว่าเข้าข่ายต้องเสียภาษีป้าย 

  • ป้ายจากร้านเช่าพื้นที่ ถ้าร้านอาหารให้เช่าพื้นที่แล้วผู้เช่าติดป้ายของตัวเอง เช่น โลโก้ร้านกาแฟหรือป้ายขายของหวาน เจ้าของพื้นที่อาจต้องเสียภาษีป้ายแทนผู้เช่า หากตกลงกันไว้หรือถ้าผู้เช่าไม่ได้ยื่นภาษีเอง


วิธีคิดภาษีป้ายร้านอาหาร

  • มีเฉพาะตัวอักษรไทย 3 บาทต่อตารางเดซิเมตร

  • มีตัวอักษรไทยร่วมกับภาษาอื่น หรือไม่มีภาษาไทยเลย 20 บาทต่อตารางเดซิเมตร

  • มีภาพและตัวอักษร 40 บาทต่อตารางเดซิเมตร

หมายเหตุ 1 ตารางเดซิเมตร = 10 ซม. x 10 ซม.

ตัวอย่างการคำนวณ หากร้านมีป้ายขนาด 1 เมตร x 0.5 เมตร = 5,000 ตร.ซม. = 50 ตร.เดซิเมตรถ้ามีข้อความไทยและอังกฤษ อัตรา 20 บาท/ตร.เดซิเมตร50 x 20 = 1,000 บาท ต่อปี


การยื่นแบบและชำระภาษีป้าย

  • การเสียภาษี ร้านต้องยื่นแบบ ภ.ป.1 กับสำนักงานเขตหรือเทศบาลที่ตั้งร้าน ภายในเดือนมีนาคมของทุกปี ถ้ามีการติดตั้งหรือเปลี่ยนป้ายใหม่ ต้องแจ้งภายใน 15 วัน หากไม่ยื่นแบบหรือจ่ายภาษีจะมีค่าปรับและอาจถูกเรียกเก็บย้อนหลัง

  • ข้อควรรู้เพิ่มเติม ถ้าให้ผู้อื่นเช่าพื้นที่และติดป้ายเอง ควรกำหนดในสัญญาว่าใครรับผิดชอบภาษีป้าย บางพื้นที่มีลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีป้าย เช่น ป้ายเล็ก หรือป้ายเพื่อการกุศล ควรสอบถามเขตหรือเทศบาลโดยตรง ส่วนป้ายภายในร้านที่ไม่เห็นจากที่สาธารณะ ส่วนใหญ่ไม่ต้องเสียภาษี


สรุป

ร้านอาหารในนามบุคคลธรรมดาต้องเสียภาษีร้านอาหารจากรายได้สุทธิและหากรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องจดทะเบียน VAT นอกจากนี้ยังต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายเมื่อจ้างงานหรือใช้บริการภายนอก รวมถึงเสียภาษีป้ายหากติดป้ายหน้าร้านตามกฎหมาย การจัดทำบัญชีและยื่นภาษีอย่างถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงและทำให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและมั่นคงในระยะยาว


#ResGoal เรายกระดับพื้นที่ร้านอาหาร คาเฟ่ ให้ก้าวสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน ตอบโจทย์การให้บริการอย่างครอบคลุมแบบ One Stop Service ครบจบในที่เดียวเพราะเราเชื่อว่ามากกว่าความอร่อยคือคุณภาพและเอกลักษณ์เฉพาะของร้านคุณ

.

———————————————

LINE : @resgoal

Facebook Official: ResGoal สร้างสรรค์คุณค่า ส่งต่อประสบการณ์ สู่สากล

Website : www.Resgoals.com 

Tel. 093-424-1559 | 063-896-0577

———————————————

Comments


bottom of page